คอลัมน์การเมือง บทบรรณาธิการ (ในแนวหน้าออนไลส์)
(เสียงข้างมากต้องชอบธรรมด้วย)
รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลแม้จะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยและครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฏรอย่างท่วมท้น แต่ความเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจะลุแก่อำนาจสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม
การที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคการเมืองให้มาเป็นรัฐบาลถือเป็นฉันทานุมัติจากประชาชนเสียงข้างมากที่ต้องการให้รัฐบาลบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและมีประสิทธิภาพ ถูกต้องชอบธรรมเพื่อความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของประเทศและเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน แต่หากรัฐบาลลุแก่อำนาจบริหารประเทศตามอำเภอใจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องก็เท่ากับไม่ปฏิบัติตามฉันทานุมัติของประชาชนเสียงข้างมาก
นอกจากนี้ประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นแม้พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลจะครองเสียงข้างมาก แต่ก็ต้องเคารพประชาชนและพรรคการเมืองเสียงข้างน้อยด้วย ไม่ใช่อาศัยพวกมากลากไป ใช้อำนาจตามใจชอบอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรมโดยไม่ฟังเสียงทัดทานท้วงติงวจากฝ่ายเสียงข้างน้อย
นอกจากข้อถกเถียงในประเด็นเสียงข้างมากที่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องชอบธรรมแล้ว ยังมีคำถามในประเด็นที่ว่า การการเลือกตั้งสะท้อนความเความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรือไม่ ทั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเลือกตั้งแบบไทยๆนั้นยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ ทั้งปัญหาการซื้อตัวนักการเมืองและซื้อเสียงทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านระบบหัวคะแนน รวมไปถึงพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลอาศัยกลไกอำนาจรัฐฉ้อฉลการเลือกตั้งด้วยรูปแบบต่างๆ ทำให้การเลือกตั้งแบบไทยๆกลายเป็นประชาธิปไตยภายใต้ธุรกิจการเมืองและทุนสามานย์ ที่อาศัยเงินมหาศาลและผลประโยชน์รูปแบบต่างๆทุ่มลงทุนเอาชนะการเลือกตั้งเพื่อครองจำนวนส.ส.เสียงข้างมากแล้วจัดตั้งรัฐบาล
จากนั้นเมื่อได้เป็นรัฐบาลก็ทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารเพื่อถอนทุนและกอบโกยกำไรมหาศาล ซึ่งเงินสรกปรกจากการโกงบ้านกินเมืองนอกจากจะสร้างความร่ำรวยให้กับเหล่านักธุรกิจการเมืองแล้ว ส่วนหนึ่งยังใช้เป็นทุนในการขยายอำนาจอิทธิพลทางการเมืองและเอาชนะการเลือกตั้งครั้งต่อๆไปเพื่อผูกขาดอำนาจเข้ามาเป็นรัฐบาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือระบบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์นับวันจะขยายอำนาจอิทธิพลทั้งทางด้านเงินทุนและทางการเมืองเพิ่มมากขึ้นทุกขณะจนเป็นสัญญาณอันตรายจากการที่ระบบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์สามารถใช้อำนาจอิทธิพลทั้งเงินทุนและทางการเมืองยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาในคราบประชาธิปไตยที่สามารถแม้แต่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศ
ทั้งนี้รัฐบาลใดก็ตามที่บริหารประเทศด้วยการลุแก่อำนาจและทุจริตคอร์รัปชั่นโดยอาศัยพวกมากลากไปโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมจึงไม่ต่างอะไรจากระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือเผด็จการทรราชย์ในคราบประชาธิปไตยดังเช่นที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของหลายประเทศหรือแม้แต่ในประเทศไทย อาทิ กรณีของอดีตจอมเผด็จการทรราชย์ของโลกคืออดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ แห่งพรรคนาซีเยอรมนีที่ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นและเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ แต่อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์กลับใช้อำนาจเผด็จการในคราบประชาธิปไตยออกกฏหมายผูกขาดอำนาจอิทธิพลให้ตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จและทำทุกอย่างตามอำเภอใจแม้แต่การสังหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างเหี้ยมโหด
ปัจจุบันเหล่านักธุรการเมืองระบอบทุนนิยมสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอำพรางโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเองแนบเนียมมากขึ้นด้วยการอาศัยอำนาจรัฐก่อหนี้และถลุงเงินแผ่นดินอันเป็นภาษีของประชาชนจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อมอมเมาหลอกล่อสร้างคะแนนนิยมจากประชาชนผ่านสารพัดโครงการประชานิยมต่างๆอย่างไร้ความรับผิดชอบโดยไม่คำนึงถึงความหายนะล่มจมของประเทศที่จะตามมา
เพราะฉะนั้นรัฐบาลเสียงข้างมากหากใช้อำนาจอย่างไม่ไม่ถูกต้องชอบธรรมก็ไม่ต่างอะไรจากเผด็จการรัฐสภาในคราบเสื้อคลุมประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะออกมารวมตัวขับไล่